“ ความยากจน ” ปัญหาที่ไม่เคยหมดไปจากสังคมไทย
ประเทศไทยของเรานี้มีสารพัดปัญหาสังคมเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งปัญหายาเสพติด ปัญหาครอบครัว ปัญหาด้านสุขภาพอนามัย ฯลฯ แต่ที่เห็นได้ชัดเจนและกระทบความเป็นอยู่ของคนในสังคมมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น “ ปัญหาความยากจน” ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมานานแสนนาน
ทุกวันนี้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศต้องประสบกับภาวะความยากจน อยู่ในภาวะที่ขาดแคลนไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และการมีหนี้สิน ซึ่งสาเหตุของความยากจน ก็เกิดจากการไม่มีงานทำ ประชากรเพิ่มขึ้น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของประชากร ความเกียจคร้านและความเฉื่อยชา ลักษณะของอุตสาหกรรม ปัจจัยทางด้านวัฒนธรรมและสังคม ตลอดจนขาดการกระจายรายได้ที่เหมาะสม
เหตุผลเหล่านี้เป็นความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย เพราะถ้าหากประชาชนว่างงานก็ไม่มีรายได้เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่าย คุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ไม่เท่าเทียมกับคนอื่นๆ และความยากจนยังก่อให้เกิดปัญหาความไม่มั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งเป็นปัญหาสังคม เช่น อาชญากรรม และยังครอบคลุมถึงขาดโอกาสทางการศึกษา การรักษาพยาบาล การไร้ซึ่งอำนาจ และส่งผลทางด้านสุขภาพจิตของบุคคลทำให้เกิดความท้อแท้สิ้นหวังต่างๆตามมา
จะเห็นได้ว่าปัญหาความยากจนเป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งรัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญเข้ามาแก้ไขในส่วนของเศรษฐกิจและสังคม เช่นให้การศึกษา เพราะการศึกษาจะช่วยให้ประชาชนมีความรู้ที่สามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพที่มีความก้าวหน้า ส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพอนามัย และให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ ตลอดจนสร้างอาชีพให้แก่ประชาน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐาน
ความยากจน ในสังคมไทย
ความยากจนเป็นปัญหาสังคมไทยมานานกว่า 20 ปี คนจนในที่นี้จึงหมายถึง คนที่มีรายได้ไม่พอต่อการยังชีพขั้นพื้นฐาน ซึ่งมีประมาณ 1 ใน 3 ของประชากร หรือประมาณ 18 ล้านคน ของประชากรทั้งหมดในช่วงนั้น หลังจากนั้นมาเศรษฐกิจก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงปี 2531 ได้ช่วยให้จำนวนคนยากจนในประเทศลดน้อยลง แต่มาในช่วงปี 2540 จนถึง ปี 2549 นั้น จากข้อมูลล่าสุดของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รายงานว่า ประเทศไทยยังคงมีคนจนที่มีรายได้ตํ่ากว่า 1,386 บาท/เดือน อยู่ถึงร้อยละ 10% หรือประมาณ 6 ล้านกว่าคน และหากถ้ารวมคนที่เกือบจะจน ที่มีรายได้ไม่เกิน 1,600 บาท/เดือน ด้วยแล้วยังมีอีกประมาณ 8 ล้านกว่าคน หากรวมแล้วประเทศไทยจะมีคนจนทั้งหมดเกือบ 15 ล้านคน ทั่วประเทศ
หากวิเคราะห์ลึกลงไปจะเห็นได้ว่า ร้อยละ 80% ของคนจนดังกล่าว ส่วนใหญ่แล้วอาศัยอยู่บริเวณแถบภาคเหนือ และภาคอีสาน และหากถ้าดูสัดส่วนรายได้ของคนทั้ง 2 ภาคนี้ จะเห็นได้ว่ามีสัดส่วนรายได้เพียงแค่ 19% ของรายได้รวมของคนทั้งประเทศ
สาเหตุของความยากจน
สาเหตุของความยากจนสามารถแบ่งได้เป็น 2 แนวทางใหญ่ๆ คือ
(1. สาเหตุจากปัจจัยภายใน ได้แก่
- การมีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพต่ำ เนื่องจากการขาดโอกาสในการศึกษาและพัฒนา ทักษะต่างๆ
- การขาดโอกาสในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์
- การมีปัญหาสุขภาพ
- การมีภาระ ในการเลี้ยงดูครอบครัวที่มีขนาดใหญ่
- การมีทรัพย์สินและที่ดินในการทำกินน้อย
** ปัจจัยเหล่านี้ ล้วนเป็นสาเหตุภายในบุคคลที่ทำให้บุคคลกลายเป็นคนจนได้
** ปัจจัยเหล่านี้ ล้วนเป็นสาเหตุภายในบุคคลที่ทำให้บุคคลกลายเป็นคนจนได้
(2. สาเหตุจากปัจจัยภายนอก ได้แก่
นโยบายการพัฒนาที่ไม่สมดุลของภาครัฐ เช่น
- การเน้นพัฒนาเมืองมากกว่าพัฒนาชนบทหรือการพัฒนาชนบท
- การเน้นแต่ทุนทางกายภาพโดยขาดการส่งเสริมทุนทางสังคม
- การเน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมมากกว่าการเกษตร
- การเน้นการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ เพื่อการพาณิชย์โดยไม่ได้คำนึงถึงความยั่งยืน
- การเน้นเป้าหมายการเจริญเติบโต ทางด้านเศรษฐกิจมากกว่าการกระจายรายได้ให้กับประชากร
- การเน้นการเปิดประเทศมากเกินไปในขณะที่ยังไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบ ในด้านต่างๆ ที่ดีพอกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นตัวสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคม
- ระบบราชการไม่เอื้อต่อการแก้ปัญหา ความยากจนทั้งในแง่ขั้นตอนในการปฏิบัติงานที่ซับซ้อนและล่าช้า
- ความซ้ำซ้อนของหน่วยงานต่าง ๆ ในขั้นตอน การปฏิบัติการ
- ความไม่สอดคล้องกันของแผนงานและงบประมาณในระดับต่าง ๆ
** ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยหลักจากภายนอก ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาความยากจนและซ้ำเติมคนจนมากขึ้นเช่นกัน
ความช่วยเหลือในการแก้ปัญหาความยากจน
รัฐบาล ก็ได้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เข้ามาประสานความช่วยเหลือในด้านเศรษฐกิจของผู้ประสบปัญหา ด้วยแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยมีข้อสรุปดังนี้
1. การส่งเสริมนโยบายเศรษฐกิจมหภาคให้เอื้อต่อการแก้ไขปัญหาความยากจน เช่น การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เข้มแข็งและยั่งยืน, การส่งเสริมเศรษฐกิจในอาชีพเกษตรกรรม, การเพิ่มรายจ่ายภาครัฐในการจัดบริการพื้นฐานทางสังคมแก่คนจน และผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น
2. การเพิ่มศักยภาพและโอกาสของคนจน เช่น การเปิดเวทีประชาคมท้องถิ่น , การขยายเครือข่ายและศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน การถ่ายทอด, ความรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน, การปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเหมาะสม เป็นต้น
3. การพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคมและผู้ด้อยโอกาส เช่น การขยายขอบเขตการประกันสังคมและการมีสวัสดิการให้ครอบคลุมผู้ยากจนและผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น
4. สวัสดิการโดยชุมชน เช่น การเตรียมความพร้อมในการสร้างหลักประกันทางสังคมแก่ประชากรแต่ละช่วงวัย โดยเน้นวัยชราเป็นสำคัญ
5. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การจัดระบบของการเกษตร การประมง อย่างมีวิธีการเป็นระเบียบ
6. การปรับปรุงระบบบริหารภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน เช่น การปรับกระบวนทัศน์และบทบาทหน่วยงานภาครัฐทั้งงหน่วยงานส่วนกลางและระดับท้องถิ่น, การจัดทำแผนงาน/โครงการที่มีลักษณะเป็นองค์รวม, ปรับปรุงระบบงบประมาณ และการจัดทำโครงการต่างๆที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงปัญหาความยากจน
1. การส่งเสริมนโยบายเศรษฐกิจมหภาคให้เอื้อต่อการแก้ไขปัญหาความยากจน เช่น การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เข้มแข็งและยั่งยืน, การส่งเสริมเศรษฐกิจในอาชีพเกษตรกรรม, การเพิ่มรายจ่ายภาครัฐในการจัดบริการพื้นฐานทางสังคมแก่คนจน และผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น
2. การเพิ่มศักยภาพและโอกาสของคนจน เช่น การเปิดเวทีประชาคมท้องถิ่น , การขยายเครือข่ายและศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน การถ่ายทอด, ความรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน, การปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเหมาะสม เป็นต้น
3. การพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคมและผู้ด้อยโอกาส เช่น การขยายขอบเขตการประกันสังคมและการมีสวัสดิการให้ครอบคลุมผู้ยากจนและผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น
4. สวัสดิการโดยชุมชน เช่น การเตรียมความพร้อมในการสร้างหลักประกันทางสังคมแก่ประชากรแต่ละช่วงวัย โดยเน้นวัยชราเป็นสำคัญ
5. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การจัดระบบของการเกษตร การประมง อย่างมีวิธีการเป็นระเบียบ
6. การปรับปรุงระบบบริหารภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน เช่น การปรับกระบวนทัศน์และบทบาทหน่วยงานภาครัฐทั้งงหน่วยงานส่วนกลางและระดับท้องถิ่น, การจัดทำแผนงาน/โครงการที่มีลักษณะเป็นองค์รวม, ปรับปรุงระบบงบประมาณ และการจัดทำโครงการต่างๆที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงปัญหาความยากจน
เศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงชีวิต ที่ในหลวงมีพระราชดำรัสแก่ชาวไทยนับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2517 เป็นต้นมา และถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในสังคม
ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ที่เราได้กล่าวไว้ข้างต้น) ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจและสาขาอื่น ๆ มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อบรรจุใน “ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 ” และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และได้นำความกราบบังคลทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยพระองค์ทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่ทรงแก้ไขแล้วไปเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
จากนั้นปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจึงได้รับการเชิดชูเป็นอย่างสูงจากองค์การสหประชาชาติ ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน โดยมีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์หลายท่านที่เห็นด้วยกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
นอกจากนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 และแนวทางการแก้ปัญหาความยากจนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ต่อยอดโครงการเศรษฐกิจพอเพียง อันเป็นโครงการที่ดียิ่งในการแก้ปัญหาหนี้ ในช่วงยุคสมัยที่ผ่านมาจึงเกิดโครงการเยียวยาแก้ไขปัญหาต่างๆตลอดมา ไม่ว่าจะเป็น
นอกจากนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 และแนวทางการแก้ปัญหาความยากจนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ต่อยอดโครงการเศรษฐกิจพอเพียง อันเป็นโครงการที่ดียิ่งในการแก้ปัญหาหนี้ ในช่วงยุคสมัยที่ผ่านมาจึงเกิดโครงการเยียวยาแก้ไขปัญหาต่างๆตลอดมา ไม่ว่าจะเป็น
โครงการลดความยากจนในอดีต เช่น
- โครงการสร้างงานในชนบท
- โครงการพัฒนาตำบลกองทุนพัฒนาชนบท
- โครงการแก้ไขปัญหาความยากจน (กข.คจ.)
- โครงการพัฒนาคนจนในเมือง
- โครงการเสริมสร้างการแก้ไขปัญหาคนจนในเมืองในภาวะวิกฤติ
- โครงการแก้ไขปัญหาด้านการเงินและสินเชื่อสำหรับคนจนในเมือง
- โครงการลงทุนเพื่อสังคม (Social Investment Project)
- โครงการพัฒนาตำบลกองทุนพัฒนาชนบท
- โครงการแก้ไขปัญหาความยากจน (กข.คจ.)
- โครงการพัฒนาคนจนในเมือง
- โครงการเสริมสร้างการแก้ไขปัญหาคนจนในเมืองในภาวะวิกฤติ
- โครงการแก้ไขปัญหาด้านการเงินและสินเชื่อสำหรับคนจนในเมือง
- โครงการลงทุนเพื่อสังคม (Social Investment Project)
โครงการลดความยากจนของรัฐบาลในปัจจุบัน เช่น
- โครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
- โครงการการพักชำระหนี้และลดภาระหนี้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยเป็นเวลา 3 ปี
- โครงการธนาคารประชาชน
- โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค
- โครงการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
เราจะเห็นได้ว่า การแก้ไขปัญหาความยากจน ในหลวงกษัตริย์ของปวงชน ท่านทรงมองการณ์ไกลในการช่วยเหลือในด้านนี้เสมอมา ทำให้เกิดการต่อยอดของโครงการ และรวมถึงหน่วยงานความช่วยเหลือต่างๆทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม จึงเห็นได้ว่าสังคมไทยนั้นยังคงเล็งเห็นถึงความสำคัญในการช่วยเหลือและเยียวยาแก้ไขปัญหาความยากจนอยู่มาก
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คำถามในเรื่องปัญหาความยากจนในสังคมไทย ยังคงต้องได้รับการตอบสนองแก้ไขอย่างไม่มีวันจบสิ้น จึงกลายเป็นคำถามทุกยุคสมัยต่อๆไป ในการหาแนวทางแก้ไขเยียวยาปัญหาความยากจนอย่างไม่รู้จบ
- โครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
- โครงการการพักชำระหนี้และลดภาระหนี้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยเป็นเวลา 3 ปี
- โครงการธนาคารประชาชน
- โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค
- โครงการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
เราจะเห็นได้ว่า การแก้ไขปัญหาความยากจน ในหลวงกษัตริย์ของปวงชน ท่านทรงมองการณ์ไกลในการช่วยเหลือในด้านนี้เสมอมา ทำให้เกิดการต่อยอดของโครงการ และรวมถึงหน่วยงานความช่วยเหลือต่างๆทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม จึงเห็นได้ว่าสังคมไทยนั้นยังคงเล็งเห็นถึงความสำคัญในการช่วยเหลือและเยียวยาแก้ไขปัญหาความยากจนอยู่มาก
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คำถามในเรื่องปัญหาความยากจนในสังคมไทย ยังคงต้องได้รับการตอบสนองแก้ไขอย่างไม่มีวันจบสิ้น จึงกลายเป็นคำถามทุกยุคสมัยต่อๆไป ในการหาแนวทางแก้ไขเยียวยาปัญหาความยากจนอย่างไม่รู้จบ